ทฤษฎีใหม่ขั้นต้น
การจัดสรรพื้นที่อยู่อาศัยและที่ท่ากิน
ให้แบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วน ตามอัตราส่วน 30:30:30:10: ซึ่งหมายถึง
พื้นที่ส่วนที่หนึ่ง ประมาณ 30% ให้ขุดสระเก็บกักน้ํา เพื่อใช้เก็บกักน้ําฝนในฤดูฝน และใช้เสริม การปลูกพืชในฤดูแล้ง ตลอดจนการเลี้ยงสัตว์น้ําและพืชต่างๆ
พื้นที่ส่วนที่สอง ประมาณ 30% ให้ปลูกข้าวในฤดูฝน เพื่อใช้เป็นอาหารประจําวันสําหรับ ครอบครัว ให้เพียงพอตลอดปี เพื่อตัดค่าใช้จ่ายและสามารถพึ่งตนเองได้
พื้นที่ส่วนที่สาม ประมาณ 30% ให้ปลูกผลไม้ ไม้ยืนต้น พืชผัก พืชไร่ พืชสมุนไพร ฯลฯ เพื่อใช้ เป็นอาหารประจําวัน หากเหลือบริโภคก็นําไปจําหน่าย
พื้นที่ส่วนที่สี่ ประมาณ 10% เป็นที่อยู่อาศัย เลี้ยงสัตว์ ถนนหนทาง และโรงเรือนอื่นๆ


หลักการและแนวทางสําคัญ
- เป็นระบบการผลิตแบบเศรษฐกิจพอเพียงที่เกษตรกรสามารถเลี้ยงตัวเองได้ในระดับที่ ประหยัดก่อน ทั้งนี้ชุมชนต้องมีความสามัคคี ร่วมมือร่วมใจในการช่วยเหลือซึ่งกันและกันทํานองเดียวกับ การ “ลงแขก” แบบดั้งเดิมเพื่อลดค่าใช้จ่าย
- เนื่องจากข้าวเป็นปัจจัยหลักที่ทุกครัวเรือนจะต้องบริโภค ดังนั้น จึงประมาณว่าครอบครัว หนึ่งทํานาประมาณ 5 ไร่ จะทําให้มีข้าวกินตลอดปี โดยไม่ต้องซื้อหาราคาแพง เพื่อยึดหลักพึ่งตนเองได้ อย่างมีอิสรภาพ
- ต้องมีน้ําเพื่อการเพาะปลูกสํารองไว้ใช้ในฤดูแล้ง หรือระยะฝนทิ้งช่วงได้อย่างพอเพียง ดังนั้น จึงจําเป็นต้องกันที่ดินส่วนหนึ่งไว้ขุดสระน้ํา โดยมีหลักว่าต้องมีน้ําเพียงพอที่จะทําการเพาะปลูกได้ตลอดปี ทั้งนี้ ได้พระราชทานพระราชดําริเป็นแนวทางว่า ต้องมีน้ํา 1,000 ลูกบาศก์เมตร ต่อการเพาะปลูก 1 ไร่ โดย ประมาณ ฉะนั้น เมื่อทํานา 5 ไร่ ทําพืชไร่หรือไม้ผลอีก 5 ไร่ (รวมเป็น 10 ไร่) จะต้องมี น้ํา 10,000 ลูกบาศก์เมตร ต่อปี ดังนั้น หากตั้งสมมติฐานว่ามีพื้นที่ 15 ไร่ ก็สามารถกําหนดสูตรคร่าวๆ ว่า
แต่ละแปลงประกอบด้วย
– นา 5 ไร่
– พืชไร่พืชสวน 5 ไร่
– สระน้ํา 3 ไร่ ลึก 4 เมตร มีความจุประมาณ 19,000 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นปริมาณน้ําที่ เพียงพอที่จะสํารองไว้ใช้ยามฤดูแล้ง
– ที่อยู่อาศัยและอื่นๆ 2 ไร่
รวมทั้งหมด 15 ไร่
แต่ทั้งนี้ ขนาดของสระเก็บกักน้ําขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศ และสภาพแวดล้อม ดังนี้
– ถ้าเป็นพื้นที่ทําการเกษตรอาศัยน้ําฝน สระน้ําควรมีลักษณะเพื่อป้องกันไม่ให้น้ําระเหย
ได้มากเกินไปซึ่งจะทําให้มีน้ําใช้ตลอดทั้งปี
– ถ้าเป็นพื้นที่ทําการเกษตรในเขตชลประทาน สระน้ําอาจมีลักษณะลึกหรือตื้นและแคบหรือกว้างก็ได้โดยพิจารณาตามความเหมาะสมเพราะสามารถมีน้ํามาเติมอยู่เรื่อยๆ
การมีสระเก็บกักน้ํานั้นเพื่อเกษตรกรได้มีน้ําใช้อย่างสม่ําเสมอทั้งปี (ทรงเรียกว่า Regulator หมายถึง การควบคุมให้ดีมีระบบน้ําหมุนเวียนใช้เพื่อการเกษตรได้โดยตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน้าแล้งและระยะฝนทิ้งช่วง แต่มิได้หมายความว่าเกษตรกรจะสามารถปลูกข้าวนาปรังเพราะหากน้ําในสระ เก็บกักน้ําไม่พอ ในกรณีมีเขื่อนอยู่บริเวณใกล้เคียง ก็อาจจะต้องสูบน้ํามาจากเขื่อน ซึ่งจะทําให้น้ําในเขื่อน หมดได้ แต่เกษตรกรควรทํานาในหน้าฝน และเมื่อถึงฤดูแล้งหรือฝนทิ้งช่วงให้เกษตรกรใช้น้ําที่ได้เก็บตุนนั้น ให้เกิดประโยชน์ทางการเกษตรอย่างสูงสุด โดยพิจารณาปลูกพืชให้เหมาะสมกับฤดูกาล เช่น
– หน้าฝน จะมีน้ํามากพอที่จะปลูกข้าวและพืชชนิดอื่นๆ ได้
– หน้าแล้งหรือฝนทิ้งช่วง ควรปลูกพืชที่ใช้น้ําน้อย เช่น ถั่วต่างๆ - การจัดแบ่งแปลงที่ดินเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคํานวณ และคํานึงจากอัตราการถือครองที่ดินถัวเฉลี่ยครัวเรือนละ 15 ไร่ อย่างไรก็ตาม หากเกษตรกรมีพื้นที่ถือครอง น้อยกว่า หรือมากกว่านี้ก็สามารถใช้อัตราส่วน 30:30:30:10 ไปเป็นเกณฑ์ปรับใช้ได้ กล่าวคือ
– 30% ส่วนแรก ขุดสระน้ํา (สามารถเลี้ยงปลา ปลูกพืชน้ํา เช่น ผักบุ้ง ผักกระเฉด ฯลฯ ได้
ด้วย) และบนสระอาจจะสร้างเล้าไก่ได้ด้วย
– 30% ส่วนที่สอง ทํานา
– 30% ส่วนที่สาม ปลูกพืชไร่ พืชสวน (ไม้ผล ไม้ยืนต้น ไม้ใช้สอย ไม้เพื่อเป็นเชื้อฟืน ไม้สร้างบ้าน พืชไร่ พืชผัก สมุนไพร เป็นต้น)
– 10% สุดท้าย เป็นที่อยู่อาศัยและอื่นๆ (ถนนคันดิน กองฟาง กองปุ๋ยหมัก โรงเรือน โรงเพาะเห็ด คอกสัตว์ ไม้ดอก ไม้ประดับ พืชผักสวนครัวหลังบ้าน เป็นต้น)
อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวเป็นสูตรหรือหลักการโดยประมาณเท่านั้น สามารถปรับปรุง เปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม โดยขึ้นอยู่กับสภาพของพื้นที่ดิน ปริมาณน้ําฝนและสภาพแวดล้อม เช่น ในกรณีภาคใต้ที่มีฝนตกชุกกว่าภาคอื่น หรือพื้นที่ใดมีแหล่งน้ํามาเติมสระได้ต่อเนื่อง ก็อาจลดขนาดของ
บ่อหรือสระน้ําให้เล็กลงเพื่อเก็บพื้นที่ไว้ใช้ประโยชน์อื่นต่อไปได้


ทฤษฎีใหม่ขั้นก้าวหน้า
หลักการดังกล่าวมาแล้วเป็นทฤษฎีใหม่ขั้นที่หนึ่ง เมื่อเกษตรกรเข้าใจในหลักการและได้ลงมือ ปฏิบัติตามขั้นที่หนึ่งในที่ดินของตนจนได้ผลแล้ว เกษตรกรก็จะสามารถพัฒนาตนเองไปสู่ขั้นพออยู่พอกินและตัดค่าใช้จ่ายลงเกือบหมดมีอิสระจากสภาพปัจจัยภายนอกและเพื่อให้มีผลสมบูรณ์ยิ่งขึ้น จึงควรที่จะต้องดําเนินการตามขั้นที่สองและขั้นที่สามต่อไปตามลําดับ
ทฤษฎีใหม่ขั้นที่สอง
เมื่อเกษตรกรเข้าใจในหลักการและได้ปฏิบัติในที่ดินของตนจนได้ผลแล้ว คือให้เกษตรกรรวมพลังกันในรูปกลุ่มหรือสหกรณ์ ร่วมแรง ร่วมใจกันดําเนินการในด้านต่างๆ ดังนี้
1. การผลิต (พันธุ์พืช เตรียมดิน ชลประทาน ฯลฯ)
– เกษตรกรจะต้องร่วมมือในการผลิต โดยเริ่มตั้งแต่ขั้นเตรียมดิน การหาพันธุ์พืช ปุ๋ย
การจัดหาน้ําและอื่นๆ เพื่อการเพาะปลูก
2. การตลาด (ลานตากข้าว ยุ้ง เครื่องสีข้าว การจําหน่ายผลผลิต)
– เมื่อมีผลผลิตแล้ว จะต้องเตรียมการต่างๆ เพื่อการขายผลผลิตให้ได้ประโยชน์สูงสุดเช่น การเตรียมลานตากข้าวร่วมกัน การจัดหากุ้งรวบรวมข้าว เตรียมหาเครื่องสีข้าว ตลอดจนการรวมกันขายผลผลิตให้ได้ราคาดี และลดค่าใช้จ่ายลงด้วย
3. การเป็นอยู่ (กะปิ น้ําปลา อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ฯลฯ)
– ในขณะเดียวกันเกษตรกรต้องมีความเป็นอยู่ที่ดีพอสมควร โดยมีปัจจัยพื้นฐานในการดํารงชีวิต เช่น อาหารการกินต่างๆ กะปิ น้ําปลา เสื้อผ้า ที่พอเพียง
4. สวัสดิการ (สาธารณสุข เงินกู้)
– แต่ละชุมชนควรมีสวัสดิภาพและบริการที่จําเป็น เช่น มีสถานีอนามัยเมื่อยามป่วยไข้หรือมีกองทุนไว้กู้ยืมเพื่อประโยชน์ในกิจกรรมต่างๆ ของชุมชน
5. การศึกษา (โรงเรียน ทุนการศึกษา)
– เยาวชนของชุมชนเองชุมชนควรมีบทบาทในการส่งเสริมการศึกษา เช่น มีกองทุนเพื่อการศึกษาเล่าเรียน ให้แก่เยาวชนของชุมชนเอง
6. สังคมและศาสนา
– ชุมชนควรเป็นที่รวมในการพัฒนาสังคมและจิตใจ โดยมีศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยว
– กิจกรรมทั้งหมดดังกล่าวข้างต้น จะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าส่วนราชการองค์กรเอกชนตลอดจนสมาชิกในชุมชนนั้นเป็นสําคัญ
ทฤษฎีใหม่ขั้นที่สาม
เมื่อดําเนินการผ่านพ้นขั้นที่สอง เกษตรกรหรือกลุ่มเกษตรกรก็ควรพัฒนาก้าวหน้าไปสู่ขั้นที่สาม ต่อไป คือ ติดต่อประสานงานเพื่อจัดหาทุน หรือแหล่งเงิน เช่น ธนาคารหรือบริษัท ห้างร้านเอกชน มาช่วย ในการลงทุนและพัฒนาคุณภาพชีวิต
ทั้งนี้ ทั้งฝ่ายเกษตรกรและฝ่ายธนาคารหรือบริษัทเอกชนจะได้รับประโยชน์ร่วมกัน กล่าวคือ
– เกษตรกรขายข้าวได้ในราคาสูง (ไม่ถูกกดราคา)
– ธนาคารหรือบริษัทเอกชนสามารถซื้อข้าวบริโภคในราคาต่ํา (ซื้อข้าวเปลือกตรงจากเกษตรกรและมาสีเอง)
– เกษตรกรซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคได้ในราคาต่ำเพราะรวมกันซื้อเป็นจำนวนมาก(เป็นร้านสหกรณ์ราคาขายส่ง)
– ธนาคารหรือบริษัทเอกชน จะสามารถกระจายบุคลากร เพื่อไปดำเนินในกิจกรรมต่างๆ
ให้เกิดผลดียิ่งขึ้น
ประโยชน์ของทฤษฎีใหม่
จากพระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ได้พระราชทานในโอกาสต่างๆ นั้น พอจะสรุปถึงประโยชน์ของทฤษฎีใหม่ได้ ดังนี้
- ให้ประชาชนพออยู่พอกินสมควรแก่อัตภาพในระดับที่ประหยัด ไม่อดอยาก และเลี้ยงตนเอง ได้ตามหลักปรัชญาของ “เศรษฐกิจพอเพียง”
- ในหน้าแล้งมีน้ําน้อย ก็สามารถเอาน้ําที่เก็บไว้ในสระมาปลูกพืชผักต่างๆ ที่ใช้น้ําน้อยได้ โดยไม่
ต้องเบียดเบียนชลประทาน - ในปีที่ฝนตกตามฤดูกาลโดยมีน้ําดีตลอดปี ทฤษฎีใหม่นี้ก็สามารถสร้างรายได้ให้ร่ํารวยขึ้นได้
- ในกรณีที่เกิดอุทกภัยก็สามารถที่จะฟื้นตัวและช่วยตัวเองได้ในระดับหนึ่ง โดยทางราชการ ไม่ต้องช่วยเหลือมากเกินไป อันเป็นการประหยัดงบประมาณด้วย
ข้อสําคัญที่ควรพิจารณา
- การดําเนินการตามทฤษฎีใหม่นั้น มีปัจจัยประกอบหลายประการ ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ในแต่ละท้องถิ่น ฉะนั้นเกษตรกรควรขอรับคําแนะนําจากเจ้าหน้าที่ด้วย
- การขุดสระน้ํานั้น จะต้องสามารถเก็บกักน้ําได้ เพราะสภาพดินในแต่ละท้องถิ่นแตกต่างกัน เช่น ดินร่วน ดินทราย ซึ่งเป็นดินที่ไม่สามารถอุ้มน้ําได้ หรือเป็นดินเปรี้ยว ดินเค็ม ซึ่งอาจจะไม่เหมาะสมกับ พืชที่ปลูกได้ ฉะนั้น จะต้องพิจารณาให้ดีและควรขอรับคําแนะนําจากเจ้าหน้าที่พัฒนาที่ดินหรือเจ้าหน้าที่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน
- ขนาดของพื้นที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคํานวณและคํานึงจากอัตราการถือครอง ที่ดินถัวเฉลี่ยครัวเรือนละ 15 ไร่ แต่ให้พึงเข้าใจว่าอัตราส่วนเฉลี่ยขนาดพื้นที่นี้มิใช่หลักตายตัว หากพื้นที่การ ถือครองของเกษตรกรจะมีน้อยกว่า หรือมากกว่านี้ ก็สามารถนําอัตราส่วนนี้ (30:30:30:10) ไปปรับใช้ได้ โดยถือเกณฑ์เฉลี่ย
- การปลูกพืชหลายชนิด เช่น ข้าวซึ่งเป็นพืชหลัก ไม้ผล พืชผัก พืชไร่ และพืชสมุนไพร อีกทั้ง ยังมีการเลี้ยงปลา หรือสัตว์อื่นๆ ซึ่งเกษตรกรสามารถนํามาบริโภคได้ตลอดทั้งปี เป็นการลดค่าใช้จ่ายในส่วน ของอาหารสําหรับครอบครัวได้ และส่วนที่เหลือสามารถจําหน่ายได้เป็นรายได้แก่ครอบครัวได้อีก
- ความร่วมมือร่วมใจของชุมชนจะเป็นกําลังสําคัญในการปฏิบัติตามหลักทฤษฎีใหม่ เช่น การลงแรงช่วยเหลือกันหรือที่เรียกว่าการลงแขก นอกจากจะทําให้เกิดความสามัคคีในชุมชนแล้ว ยังเป็นการ ลดค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงานได้อีกด้วย
- ในระหว่างการขุดสระน้ํา จะมีดินที่ถูกขุดขึ้นมาเป็นจํานวนมาก หน้าดินซึ่งเป็นดินที่ควรนําไป กองไว้ต่างหากเพื่อนํามาใช้ประโยชน์ในการปลูกพืชต่างๆ ในภายหลัง โดยนํามาเกลี่ยคลุมดินชั้นล่าง ที่เป็นดินไม่ดี ซึ่งอาจนํามาถมทําขอบสระน้ําหรือยกร่องสําหรับปลูกไม้ผล
ขอบคุณข้อมูลจาก สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์